เวลามีค่า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมตามหน้าที่ ความสมตามวัย มันดูเหมาะสม ทำตามหน้าที่ เราเป็นพระ เราบวชใหม่ พระภิกษุใหม่ในนวโกวาทบอกว่า ภิกษุใหม่เป็นผู้ที่ทนคำสอนได้ยาก เพราะภิกษุใหม่บวชมาจากคฤหัสถ์ เพราะคฤหัสถ์เป็นนิสัยของโลกไง เราต้องขอนิสสัย
คำว่าขอนิสสัย นิสัยของโลกกับนิสัยของธรรมแตกต่างกัน นิสัยของโลกอยู่กันด้วยมารยาทสังคม นิสัยของธรรมมีธรรมวินัย ถ้ามีธรรมวินัยขึ้นมาก็ดูกันด้วยธรรมวินัย ถ้าเราประพฤติปฏิบัติจนเป็นนิสัย มันแสดงออกนะ ภิกษุมองกันออก
ถ้ามองกันออก ภิกษุใหม่ผู้ที่ทนคำสอนของครูบาอาจารย์ได้ยากเพราะอะไร เพราะเราเคยชินไง แต่ในเมื่อเราบวชมาแล้ว เราเชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามันมีที่สุดแห่งทุกข์ได้
ฉะนั้น ความสมวัยของผู้บวชใหม่มันก็ต้องมีการศึกษา ศึกษาทางภาคปริยัติ ศึกษาทางวิชาการ ศึกษาในภาคปฏิบัติ
เวลาครูบาอาจารย์สมัยหลวงปู่มั่นนะ กว่าจะบวชได้ ๓ ปี ๔ ปี ยังเย็บผ้าตัดผ้าไม่ได้ไม่ให้บวช กว่าจะเย็บผ้าตัดผ้าได้ ต้องขานนาคได้ ต้องเย็บผ้าตัดผ้า พอศึกษาแล้ว เข้ามาแล้ว พอทำอะไรมันก็ดูสวยงามใช่ไหม แต่นี่ถ้ามันไม่สมวัยเห็นไหม พอบวชแล้วเป็นพระเหมือนกันก็มีศักดิ์ศรีเท่ากัน ธรรมวินัยมีศีล ๒๒๗ ข้อเหมือนกัน
คำว่าเหมือนกัน แต่ถ้ามันศึกษามันได้มีการฝึกฝนมา เวลาเราทำสิ่งใดมันรู้หน้าที่กาลเทศะ คำว่ากาลเทศะอย่างอาวุโสภันเต อาวุโสภันเตที่เราทำกันอยู่นี้ เราเคารพธรรมวินัย ทั้งๆ ที่ผู้ที่เราเคารพจะไม่มีคุณธรรมในหัวใจก็แล้วแต่ แต่คำว่าอาวุโสเราเคารพด้วยธรรมวินัย แต่ไม่ได้เคารพด้วยหัวใจไง เพราะใจไม่ลง
ถ้าใจลงนะ สามเณรน้อยถ้ามีคุณธรรมเราก็เคารพบูชาของเรา เพราะเขามีอำนาจวาสนาของเขา เขาปฏิบัติของเขาได้ แต่เราประพฤติปฏิบัติของเรา เราพยายามขัดเกลากิเลสของเรา แต่มันขัดเกลาเราไม่ได้ เราก็พยายามขัดเกลาของเรา
บารมีธรรมนะ มันถ่ายโอนกันไม่ได้หรอก มันจะเป็นของใครของมัน ถ้าของใครของมันนะ เราอาศัยครูบาอาจารย์ อีกาเกาะภูเขาทอง ถ้าอีกามันเกาะภูเขาทองนะ อีกากับภูเขาทองมันคนละส่วนกัน ภูเขาทองก็คือภูเขาทอง อีกาก็คืออีกาไง มันจะเป็นอีกาหรือไม่เป็นอีกา เราก็รู้ตัวเราเองว่าใจของเรามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ถ้าไม่เป็นจริงเราก็อาศัย
ธรรมดาร่มโพธิ์ร่มไทร.. ครูบาอาจารย์ก็เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเรา คนเราเกิดมา พ่อแม่ไม่เลี้ยงดูมันจะโตมาได้อย่างไร สิ่งที่เราเติบโตมาได้ก็พ่อแม่เลี้ยงดู ฉะนั้นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพูดถึงธรรมฆราวาส พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก
พ่อแม่นี้เป็นพระอรหันต์ของลูกนะ พ่อแม่ให้ชีวิตเรามานะ ถ้าพ่อแม่คลอดออกมา ถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยง พ่อแม่มีความจำเป็นนะ ไม่เลี้ยงก็ไม่เลี้ยง.. ก็ไม่เลี้ยงจะเป็นไรไปล่ะ ก็ไม่เลี้ยงก็คือไม่เลี้ยง แต่เราตาย แต่เราอยู่ได้ก็เพราะพ่อแม่เลี้ยงเรามาใช่ไหม นี่พระอรหันต์ของลูก นี่ธรรมของโลกเขา
พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่เวลาเราบวชเข้ามาแล้วเป็นพระอรหันต์ของเราไหมล่ะ ถ้าพ่อแม่เรามันก็มีอารมณ์ความรู้ตามแต่ใจ ตามแต่ผลกระทบนั้น แต่นั่นคือผลกระทบนั้นไง แต่คุณธรรมเพื่อท่านเป็นพ่อแม่เราล่ะ สิ่งนี้เป็นพ่อแม่ของลูก เป็นพ่อแม่ของลูกแต่ไม่ใช่สาธารณะ
แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พยายามทำตัวเรารักษาตัวเราขึ้นมา มันเป็นธรรมวินัยของเรา มันเป็นคุณธรรมของเรา มันเป็นความจริง มันมีคุณธรรมในใจนั้น ถ้ามีคุณธรรมในใจนั้น มันเป็นจริงตามเนื้อข้อเท็จจริง
แต่ถ้าพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพราะเป็นตามสิทธิ์ เพราะท่านมีสิทธิ เพราะท่านมีบุญคุณจริงๆ ท่านให้ชีวิตเรามา แล้วท่านเลี้ยงดูเรามา นี่เรื่องของโลก
ถ้าเรื่องของธรรมล่ะ สัจจะความจริงอันนั้นมันพิสูจน์กันได้ ธรรมวินัยส่วนธรรมวินัย แต่ถ้าใจมันลง มันส่วนเรื่องของใจมันลง อันนี้เป็นเรื่องบารมีธรรม บารมีธรรมเกิดมาจากไหน บารมีธรรมเกิดจากเราพยายามสร้างสมของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรา
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่เป็นมนุษย์อะไรพามาเกิด นี่มนุษย์สมบัติ ศีล ๕ เป็นมนุษย์สมบัติ เพราะถ้ามีศีล ๕ โดยสมบูรณ์เราจะเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์แล้วมนุษย์มีค่าเท่ากัน ประชาธิปไตยๆ ...ธรรมาธิปไตย มันเป็นธรรมหรือเปล่า ประชาธิปไตยยกหนึ่ง หนึ่งเสียงๆ เท่ากัน ใครยกมือได้ประชาธิปไตย
ประชา..ประชาธิปไตย.. ประชาคือสังคม ธรรมาธิปไตยคือความถูกต้อง ถ้าธรรมาธิปไตย ธรรมาอยู่ที่ไหน ถ้าธรรมาอยู่ที่ไหน ดูสิ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีธรรมวินัยขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเรา มีสติแม้แต่วินาทีเดียว ดีกว่าคนเพ้อสติทั้งชีวิต
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นคุณธรรมขึ้นมา ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา ทุกอย่างจะมีคุณค่าหมด กาลเวลามันกินคนนะ กาลเวลาเห็นไหม ดูสิ เวลาคนเฒ่าคนแก่ ในเมื่อผ่านการทำงานมาแล้ว เป็นผู้เกษียณมาแล้วนะ วันๆ อยู่ไปเพื่อฆ่าเวลาไง เวลาทำให้เบื่อหน่าย อยู่วันๆ เขาฆ่าเวลาไป ทำเพื่อฆ่าเวลา
แต่ของเราผู้ประพฤติปฏิบัติ เวลามีค่าตลอดนะ ค่าของเวลา ดูสิ ในวัฏฏะ ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับของเทวดาเขา ๑ วัน แล้วในชีวิตหนึ่ง แล้ว ๑ วันในชีวิตของเขาเวลาของเขาต่างกันเท่าไหร่
แล้วเวลาของเรากับเวลาของสัตว์ ดูสิ แมลงวัน ชีวิตของมันมีเวลาแค่ ๗ วัน ชีวิตมันก็ยาวไกลนะ นี่ไง สิ่งที่ว่าจิตใจมันพอใจนะ ดูตัวหนอนมันเป็นดักแด้ กว่ามันจะฟักตัวมันออกมา ดูสิ ชีวิตของมัน มันกินทั้งวันเลย เป็นตัวหนอนมันกินทั้งวันเลย กินเพื่อความอ้วนท้วนของมัน แล้วมันสร้างดักแด้เลย มันก็อยู่ในดักแด้จนกว่ามันจะฟักตัวออกมาเป็นผีเสื้อ มันก็จะบินไปนะ พอบินไปนะ มันไปผสมพันธุ์มันก็สิ้นชีวิตของมันไป ก็แค่นั้นแหละ
วันเวลาเห็นไหม เวลามีค่ามาก แล้วคำว่าเวลามีค่ามาก ครูบาอาจารย์ท่านถึงบอกว่า ให้เราแอคทีฟตลอดเวลา คือตื่นตัวตลอดเวลา ถ้าเราตื่นตัวตลอดเวลา เวลามันจะมีค่าตลอดเวลานะ
ถ้าเวลามีค่ากับเรา เราทำตัวของเรา เราตั้งสติปัญญาของเรา ทีนี้ถ้ากิเลสมันครอบงำ มันฆ่าเวลาทิ้งนะ จะฆ่าเวลาทิ้งเลย โอ....อยู่ไปก็เหนื่อยหน่าย อยู่ไปก็มีแต่ความอับเฉา อยู่ไปก็มีแต่ความอั้นตู้ เพราะอะไร...อันนี้มันถึงมีข้อวัตร
ถ้ามีข้อวัตรขึ้นมา ดูสิ วันๆ หนึ่ง ถ้าเรานั่งสมาธิ นั่งภาวนา พอนั่งไปจิตใจมันเป็นไง ออกมาทำข้อวัตร ต้องเก็บกวาด ทำข้อปฏิบัติของเราขึ้นมา มันบริหารทั้งร่างกายด้วย บริหารจิตใจด้วย จิตใจไม่หมักหมมไง
จิตใจเราหมักหมม จิตใจถ้ามีสิ่งใดถ้ามันฝังใจอยู่นะ สิ่งนั้นมันจะย้ำคิดย้ำทำ ถ้าเราลุกขึ้นไป เราเปลี่ยนกิริยาท่าทางของเราออกไป เพื่อบริหารจัดการของมัน เวลานั่งสมาธิภาวนาอยู่ สิ่งนี้คิดไม่ตกเลยนะ เวลาจับไม้กวาด กวาดไปๆ ฮื่อ.. ไอ้นั่นเป็นอย่างนั้น ไอ้นี่จะเป็นอย่างนี้ นี่ปัญญามันเกิดนะ พอปัญญามันเกิดมันไล่ต้อนเข้ามา มันจะย้อนกลับเข้ามา เพราะถ้าเราย้ำคิดย้ำทำ มันไม่มีโอกาสที่เราจะได้พิจารณาตัวมันเลย
แต่ถ้าพอเราทำข้อวัตรไป กิเลสมันเผลอนะ โอ้.. ไม่ปฏิบัติแล้ว ไม่ต่อสู้กับเราแล้ว ออกไปปฏิบัติกิเลสมันเผลอนะ ปัญญามันโผล่นะ นี่ธรรมเกิด ธรรมเกิดไม่ใช่อริยสัจ ธรรมเกิดไม่ใช่วิปัสสนา วิปัสสนามันเป็นการต่อสู้กันระหว่างสติปัญญากับกิเลสเลย
แต่ระหว่างสติปัญญากับกิเลสจะเจอกัน มันต้องมีความสงบของใจเข้ามา แล้วขุดคุ้ยหามันกว่าจะเจอตัวมัน แต่นี่ยังไม่เจอตัวมัน เพราะกิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลส สรรพสิ่งเป็นเราทั้งหมด ชีวิตเป็นเรา ทุกข์ก็เป็นเรา ทุกอย่างเป็นเราทั้งหมดเลย แล้วเรามาประพฤติปฏิบัติอยู่ เราก็ต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน
ขณะทำความสงบของใจเข้ามา ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่ฆ่าเวลา.. ฆ่าเวลานะ โอ....มันจะได้เวลาเมื่อไหร่ เวลามันจะถึงเมื่อไหร่ มันจะจบเมื่อไหร่ นี่นั่งไปฆ่าเวลาทิ้งนะ ทั้งๆ ที่เวลานี้มีคุณค่ามาก
คุณค่าของเวลามีมาก เพราะคุณค่าของมนุษย์ คุณค่าของการเกิดขึ้นมาชาติหนึ่ง ถ้าเราไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์ เรายังมีลมหายใจอยู่ เราจะปฏิบัติถึงที่สุดเลย เราจะไม่ยอมแพ้กับมันเลย ถ้าไม่ยอมแพ้กับมัน ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี !
ถ้า ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีเกิดขึ้นมา เราเกิดขึ้นมาเพราะความจงใจ เกิดมาเพราะความตั้งมั่นของเรา ถ้ามีความจงใจ มีความตั้งมั่น มีค่าหมดเลย ! ดูสิ เวลาถ้าจิตใจเรามีคุณงามความดีนะ โอ้โฮ...โลกนี้สวยงามมาก มันน่าอยู่ โอ้โฮ....มันน่าปลาบปลื้ม
แต่เวลามันทุกข์นะ เวลาทุกข์ขึ้นมาน่ะหัวชนฝาเลยนะ ขนาดเขาทุกข์จนทำลายตัวเองเพราะอะไร เพราะมันไม่มีทางออก เขาหาทางออกไม่ได้เขาถึงทำลายชีวิตเขา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สอนอย่างนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฆ่ากิเลส ตัดป่าทำลายป่าทั้งหมดเลย ไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ต้นไม้นี้อยู่ครบหมดเลย ตัดทำลายกิเลส วัฏฏะ ความรกชัฏของใจทำลายหมดเลย เผาทำลายหมด ! แต่ไม่มีอะไรบุบสลายเลย นี่ธรรมะของพระพุทธเจ้า
การฆ่าที่ประเสริฐที่สุดคือฆ่ากิเลส การฆ่ากิเลสเกิดที่ไหน การฆ่ากิเลสเกิดจากใคร ใครจะฆ่ากิเลสให้เราล่ะ มันไม่ใช่ไปชอปปิ้งนะ จะหานิพพานจะจ่ายเงินที่ไหน ไปเอาสินค้าใส่รถเข็นจะจ่ายตังค์ จะเอานิพพานกลับบ้าน ไม่มีหรอก !
มันว่ากันไป มันอยู่ที่เรา อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราจะไม่ฆ่าเวลาเราทิ้งนะ การเกิดมานี้มันก็มีบุญกุศลมาก การเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกการเกิดมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ แล้วเราได้บวชขึ้นมา การบวช เห็นไหม ดูสิ เวลาพระบวชเข้ามาเขาว่าเป็นคนมีบุญ เวลาพระจะสึกเข้าไป เขาว่า หมดบุญ.. หมดบุญเพราะต้องสึกไปไง โดยธรรมชาติทุกคนก็รู้ ทุกคนรู้นะ นี่จีวร ผ้ากาสาวพักตร์ เป็นธงชัยพระอรหันต์ แล้วเราห่มอะไรอยู่ เราห่มธงชัยพระอรหันต์อยู่นะ เอาธงชัยพระอรหันต์มาห่มกายเราอยู่
หลวงตาท่านบอกเลยนะ ถ้าเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองมันก็ดีงามนะ แต่ถ้าเป็นผ้าทองห่อขี้ไง ผ้าไหม ผ้าทอง ผ้าอย่างดีเลย แต่ห่อขี้โลภ ขี้โกรธ ห่อตัวเราไว้นี่ไง นี่ไงธงชัยพระอรหันต์ แต่เราใช้อยู่ เราใช้สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ให้ ผ้า ๓ ผืน ผ้ากาสาวพักตร์ ถ้าเราใช้สิ่งนี้เรามีบุญไหม ถ้าคำว่าเรามีบุญกุศลขึ้นมา จิตใจเป็นบุญได้ไหม
เรามีความเฉา มีความทุกข์ ความเศร้าหมองในใจไหม ถ้ามีความทุกข์ความเศร้าหมอง ทีนี้มันห่ออะไรอยู่.. ก็มันห่อขี้ไง ก็ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงอยู่นี่ไง ก็ขี้ในตัวเรา ถ้าผ้าทองห่อขี้เราจะทำอย่างไร เราจะตัดความขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงของเราให้ได้ ถ้าเราจะฆ่ามันจะทำลายมัน เวลาจะมีคุณค่า
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาทุกวินาทีมีค่าหมดเลยนะ เพราะอะไร เพราะตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ตั้งใจนะ.. อยู่กับมัน ในทางจงกรมในทางที่เราภาวนา ย้ำอยู่นั้นนะ
มีคนถามบ่อยมากว่า เดินจงกรมทั้งวันไม่เบื่อเหรอ ? มันเบื่อต่อเมื่อถ้าไม่มีงานทำ คำว่าไม่มีงานทำคือจิตมันไม่สงบ แล้วจิตมันหางานทำไม่ได้ มันจะเบื่อหน่ายของมัน
แต่ถ้าจิตมันมีงานทำของมันนะ พอมันสงบขึ้นมา มันสงบเพราะอะไร ดูสิ เวลาเราหิวข้าวมากเลย เราถือจานคนละใบ หม้อข้าวอยู่ไหน มันจะตักข้าวใส่จานเลย แล้วหม้อแกงอยู่ไหน ตักแกงใส่จานนั่งกินเลย เพราะหิวใช่ไหม
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา มรรคผลอยู่ไหน สติสมาธิอยู่ไหน ถ้ามันอยู่ไหนเดินจงกรมอยู่นั้นล่ะ แต่ถ้ามันหาไม่เจอมันก็เบื่อหน่าย นี่ไง แต่ถ้าจิตมันเป็นไปนะ มันมีพัฒนาการของมันนะ หิวกระหายขนาดไหน เราทำอาหารของเรา เรามีอาหารของเรา เรากินของเรา เราขลุกอยู่กับงานของเรา เราทำของเรา มันเพลินอยู่กับงานของเรา มันเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน เดิน ๗ วัน ๗ คืน เดินทั้งปีทั้งชาติเลย !
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ พุทธกิจ ๕ เวลาเล็งญาณเอาอะไรเล็ง ถ้ามันไม่ทำความสงบของใจเข้ามา ไม่กำหนดจิต เอาอะไรเล็งญาณ เช้าขึ้นมาเล็งญาณออกบิณฑบาตสอนคฤหัสถ์ หัวค่ำสอนพระ ถึงจะสอนเทวดา อินทร์ พรหม เช้าขึ้นมาเล็งญาณ นี่พุทธกิจ ๕ ! แม้แต่พระอรหันต์ท่านยังดำรงจิตของท่านตลอดทั้งวันทั้งคืนเลย
ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่นท่านเดินจงกรมทุกวันเลย ตี ๔ ลงแล้ว เข้าทางจงกรมแล้ว พระอรหันต์นะ !! พระอรหันต์ทั้งนั้น !!
แล้วเราเป็นใคร !! เราเป็นใคร !!
นี่ไง...ถ้าเราเป็นใครขึ้นมา เราต้องตั้งใจขึ้นมา อย่าฆ่าเวลาให้ทิ้งไปเปล่าๆ นะ อยู่ไปวันๆ หนึ่งฆ่าเวลาทิ้งไป แล้วไม่ใช่ฆ่าธรรมดานะ เวลาก็ฆ่าเราด้วย เมื่อไหร่จะหมดชั่วโมง เมื่อไหร่จะหมดนาที เมื่อไหร่จะหมดวัน ทุกข์ยากอยู่นั่นแหละ ให้เวลาขี่คออยู่
นั่งภาวนา จุดธูปไว้ดอกหนึ่ง ธูปเมื่อไหร่มันจะหมด นั่งดูแต่นาฬิกานะ นาฬิกาที่ร้านขายเต็มร้านเลย นาฬิกาต้องไปเคารพมันทำไม เขาดูหัวใจ ถ้าหัวใจอยู่นี่ เราดูหัวใจ เวลาจะมีค่า
ถ้าเวลามีค่า ดูสิ ชีวิตเราก็มีค่า ชีวิตเรานะ มันล่วงไปนะ สิ่งที่ได้มาเป็นอายุ คือเวลาที่เสียไป แล้วข้างหน้าที่เราจะดำเนินไป เราจะมีอายุเท่าไหร่เราก็ไม่รู้ แต่ได้มาแล้ว ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๖๐ ปี ๗๐ ปี คือเวลาที่เสียไปแล้วทั้งนั้นนะ เวลาที่เราใช้หมดไปแล้วนะ ที่ดำรงชีวิตอยู่นี่ เวลาใช้หมดแล้ว แล้วข้างหน้าไม่รู้ได้เท่าไหร่ จะอายุยืนอีกเท่าไหร่ เวลามันจะมีอีกเท่าไหร่ ใครจะว่าพรุ่งนี้ไม่ตาย จะอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอก ทุกคนตายหมด ช้าหรือเร็วเท่านั้น
ถ้าช้าหรือเร็วเท่านั้น สิ่งที่มีสติสัมปชัญญะ โลกเขาเป็นอย่างนี้ ไม่น่าแตกตื่น ไม่น่าตื่นเต้นไปกับมันเลย โลกเขาเป็นอย่างนั้น ในเมื่อเราอยู่กับโลกใช่ไหม คนเราควรจะมีคุณงามความดี ดีเพราะหน้าที่การงาน ใครทำงานดีคนนั้นเป็นคนดี คุณงามความดีนี่ กลิ่นของศีลหอมทวนลม ออกไปโลกก็ประกอบสัมมาอาชีวะ ประกอบอาชีพอยู่อย่างนั้น เราก็ทำของเรา เพราะเป็นหน้าที่
เป็นหน้าที่.. เราเกิดมาแล้ว คนเขาวัดกันที่คุณงามความดีว่า รับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน ถ้าเรารับผิดชอบทั้งชีวิตเรา ถ้าใครมีครอบครัวรับผิดชอบครอบครัวเรา ถ้าเรารับผิดชอบชีวิตเรา รับผิดชอบครอบครัวเรา รับผิดชอบชีวิต พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรา เรารับผิดชอบ ความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่เป็นคุณงามความดี
บัณฑิตคบบัณฑิต มันก็มีคุณงามความดีไป แล้วมันจะเป็นบัณฑิตหมดไหมล่ะ มันไม่มีทางหรอก มันมีลุ่มๆ ดอนๆ ใช่ไหม คนคิดแตกต่างหลากหลาย แล้วความคิดของเรากับความคิดของเขามันจะตรงกันไหม ? มันไม่ตรงกัน มันทุกข์ทั้งนั้น
ถ้าเราคุมใจของเราได้ มันเรื่องของเขา เรื่องของเรา มันเป็นทิฐิเป็นความเห็นของเขา เราจะไปเปลี่ยนแปลงความเห็นของเขา เราจะไปเปลี่ยนบุญกรรมของเขา กรรมเก่าของเขาสร้างมาตั้งแต่ภพไหนชาติไหน มันถึงเป็นทิฐิของเขา เป็นความเห็นของเขา ความเห็นของเขามันเป็นอย่างนั้น
น้ำกับไฟ น้ำกับน้ำมัน น้ำกับน้ำมันมันคนละเรื่องกันอยู่แล้ว ในทิฐิมานะของเขามันเป็นอย่างนั้น ถ้ามันมีความจำเป็นต้องดูแล เราก็ต้องดูแลของเราไป
แต่ถ้าจิตใจเราเข้าใจแล้ว จิตใจเรารู้แจ้งหมดแล้ว มันก็เป็นอย่างนั้น ผ้าทองไม่ห่อขี้ไง ! เพราะมันรู้แจ้งแล้ว มันรู้จบ มันก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ดูแลไปอย่างนั้น ดูแลตามหน้าที่นะ
สอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วนเศษทิ้ง ของมันเหลือทิ้งเหลือเศษ มันเป็นอย่างนี้มันก็เป็นอย่างนี้ เหลือทิ้งสำหรับผู้รู้แจ้ง แต่ผู้ไม่รู้แจ้งไม่ใช่เหลือทิ้ง เหลือหาบ มันจะหาบหาม มันจะทิฐิมานะ มันมีแต่จะเอาความทุกข์สุมหัวมัน
ถ้าเราออกไป เรารักษาใจของเราแล้ว เราก็จะไม่ไปยุ่งกับเขา เราดูแลเขาโดยไม่ไปยุ่งกับเขา ฟังสิ ! ดูแลรักษานะ
แต่เราไม่สามารถแก้ไขทิฐิความเห็นของเขาได้ ถ้าเขาเปลี่ยนแปลงทิฐิความเห็นของเขา ด้วยบุญบารมีของเขาหนึ่ง...คำว่าบุญบารมี เพราะมันฟังธรรมจากครูบาอาจารย์แล้วมันได้คิด
แต่ถ้าเขาเปลี่ยนของเขาได้ด้วยญาณทัศนะ ด้วยความเห็นที่เขาวิปัสสนาของเขาขึ้นมา อันนั้นเป็นบุญของเขา นั่นนะดวงตาเห็นธรรม ถ้าดวงตาเห็นธรรม มันจะเห็นธรรมจากการกระทำอย่างนั้น
ถ้าจิตใจมีการกระทำของมัน มีการแก้ไขของมัน ดวงตาเห็นธรรม เห็นธรรมที่ไหน เห็นธรรมในตู้พระไตรปิฎกเหรอ เห็นธรรมที่ไหนล่ะ มันเห็นธรรมเพราะใจเป็นธรรม !
ใจเป็นธรรม ตัดป่าไง ตัดป่าความรกชัฏในหัวใจ ตัดมันออกไป แล้วมันจะเหลืออะไรไว้ เหลือสิ่งใดไว้ในหัวใจ สิ่งใดที่หัวใจนี้มันเหลือไว้ นี่สิ่งที่เป็นพัฒนาการของมัน ถ้ามีพัฒนาการของมันขึ้นมานะ มันเกิดมาจากอะไรล่ะ ก็เกิดมาจากชีวิตเรา
ชีวิตเรานี้มันเกิดด้วยอะไร ชีวิตเรามีอายุขัยเท่าไหร่ นี่เป็นเวลาไหม เวลามีคุณค่า มีคุณค่าอย่างนี้ มีคุณค่าเพราะเราใช้เวลาเป็น เราเอาเวลาเป็น ไม่ใช่ไปยอมจำนนกับมัน แล้วก็นั่งรอแต่นาฬิกามันจะหมดวันไปเมื่อไหร่ มันจะหมดวันหมดคืน หมดวาระเมื่อไหร่ จะได้เปลี่ยนถ่ายอารมณ์ ทำไมเราเอาชีวิตเอาอารมณ์ของเราไปไว้กับมัน
ถ้าเอาไว้กับมัน ถ้ามันจะทำให้ได้สมความปรารถนา สมเป้าหมายนั้น ก็ต้องอยู่เพื่อฆ่าเวลา ให้เวลามันผ่านไปไง แม้แต่มันจะผ่านไป มันจะแก้ทุกข์เราไม่ได้ มันให้เราเห็นความจริงไม่ได้ แต่ถ้ามันมีคุณค่าขึ้นมา เรามีคุณค่าตลอด เหมือนกับเราหิวกระหายอยู่ เราจะหาอาหารของเรา เราจะแก้ไขของเรา เราจะทำของเรา
นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ เราก็ต้องตั้งสติของเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อกาลิโก อกาล ! อะคือไม่มีเวลา ! เช้า สาย บ่าย เย็น ดึกดื่น เที่ยงคืน ถ้าบรรลุธรรมตอนไหน มันก็ตอนนั้นแหละ
ถ้าจิตมันสมดุลมันเป็นได้ทุกวินาที วินาทีไหนก็ได้ ถ้ามันเป็น ถ้าเป็นขึ้นมานะ แต่ก่อนที่มันเป็นมันมีสิ่งใดรองรับมันมาล่ะ สิ่งใดหมุนมันขึ้นมา สิ่งใดจะทำให้มันขึ้นมา มันจะขึ้นมา มันจะลอยจากฟ้าจากไหน ถ้ามันไม่เกิดจากความเพียรของเรา มาจากความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา แล้วใครทำให้เราได้ล่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ทางเท่านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดินจงกรมอยู่ พระยสะเห็นไหม
ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ
เขามีการเลี้ยงสังสรรค์กัน พระยสะมีปราสาท ๓ หลังเหมือนกัน มีแต่ความทุกข์ความร้อน อยู่ในกองเงินกองทอง จนเบื่อหน่าย จิตใจเห็นคุณค่า เวลามีค่าขึ้นมา เวลามีค่า ถ้ามีเวลายังสุมหัวกัน ยังรื่นเริงในมหรสพสมโภชอยู่อย่างนั้น ในสโมสรสันนิบาตมันจะมีประโยชน์อะไร !
นั่นน่ะ ฆ่าเวลาทิ้งไง อยู่เพื่อฆ่าเวลา !! ฆ่าโอกาสของตัว ฆ่าความเห็นของตัว ฆ่าความเป็นไปของตัว พอเห็นความเบื่อหน่าย ทิ้ง.. สลัดทิ้งออกไปเลย
ที่นี่เดือดร้อนหนอ.. ที่นี่วุ่นวายหนอ..
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่นะ
ยสะ....ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่เดือดร้อนหนอ.. ไม่ขัดข้องหนอ.. ที่นี่ไม่เดือดร้อนเลย ยสะมานี่
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟังเลย
มันเดือดร้อน มันเดือดร้อนที่ไหน มันเดือดร้อนที่ปราสาท ๓ หลังนั้นเหรอ มันเดือดร้อนที่มหรสพสมโภชนั้นไหม มันเดือดร้อนที่หัวใจของยสะใช่ไหม
ย้อนกลับเข้ามา พระยสะเป็นพระโสดาบันเลย สิ่งต่างๆ พระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ ที่นี่เดือดร้อนหนอ.. ที่นี่วุ่นวายหนอ..
ถ้าใช้เวลา ฆ่าเวลา ทำลายเวลาไปด้วยความเพลิดเพลินในชีวิต ถ้าฆ่าเวลาไป ทำลายเวลาของเราไปเอง เวลาที่แผ่นดินกลบหน้าไง ถึงวันหนึ่งแผ่นดินต้องกลบหน้า ! ถึงวันหนึ่งทุกคนต้องตายไป !
พอถึงเวลาตายไปแล้ว ฆ่าเวลาทิ้งไปทั้งชีวิตเลย ชีวิตนี้ทิ้งเปล่าๆ ! เกิดมาตายเปล่าๆ ! เกิดมาสร้างครอบครัว สร้างตระกูล สร้างไว้ต่างๆ แล้วตระกูลก็ทิ้งไว้อยู่ที่นี่ แล้วมันก็ต้องตายไป ! มันตายไปเปล่าๆ เห็นไหม ฆ่าเวลาทิ้งเลยนะ
แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราก็มีชีวิตเหมือน ก็เวลาเหมือนกัน.. เวลาเหมือนกัน วันละ ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน จักรวาลนี้ต้องหมุนไปเหมือนกัน โลกต้องหมุนไปอย่างนี้ตลอดเหมือนกัน มันเป็นเวลาเหมือนกัน แต่จิตที่มาเกิดล่ะ แต่จิตที่มีสติสัมปชัญญะ แต่จิตที่เราจะเอาตัวเราพ้น ถ้าเรามีสติปัญญาของเราขึ้นมา มันจะเตือนตัวเราไหม เวลาอันเดียวกันเลย
คนชั่วใช้อย่างหนึ่ง คนชั่วใช้เวลานั้นทำลายคนอื่น ทำลายความเสียหาย ทำลายเอาเวรเอากรรมมาใส่หัวใจของมัน คนดีใช้เวลาอันเดียวกัน ๒๔ ชั่วโมง วันนี้ทั้งวัน ประชากรโลกตั้งกี่พันล้านคนเขาทำอะไรกันอยู่ เขาใช้เวลาเหมือนกัน
เราก็เป็นพระเป็นเจ้า เราก็เป็นพระองค์หนึ่งบวชในศาสนา เราก็ใช้เวลาอันหนึ่งเหมือนกัน แต่เราใช้เวลาอย่างไร เราใช้เวลาหมดไปวันๆ หนึ่ง เราใช้เวลา เราฆ่าเวลา เรามีความสุขมาก นั่งเหงื่อไหลไคลย้อยเลย มีแต่ความทุกข์ เขามีความสุข เขานั่งอยู่ในห้องแอร์ เขานั่งอยู่ด้วยความสุขสบายของเขา
เวลาเหมือนกัน ทุกข์เหมือนกัน แต่หัวใจแตกต่างกันอย่างไร คนใช้มัน ใช้มันอย่างไร แล้วใช้เป็นประโยชน์กับใคร เป็นประโยชน์กับตัวเองใช่ไหม ถ้าตัวเองมีคุณงามความดี ตัวเองมีการกระทำขึ้นมา เวลามีค่า คุณค่าของมัน คุณค่าของชีวิต ชีวิตมีคุณค่ามาก เพราะการเกิดเกิดแสนยาก
เวลาคนเกิดในพระไตรปิฎก เหมือนเต่าตาบอดอยู่ในทะเล เวลาโผล่ขึ้นมาในทะเล ถ้ามีบ่วงๆ หนึ่ง โผล่มาในบ่วงได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่โผล่มาไม่อยู่ในบ่วงนั้นก็เกิดในวัฏฏะไป เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนรกอเวจี เกิดอยู่อย่างนั้น
จิตต้องเกิดตลอด จิตไม่มีเว้นวรรค ตัวจิตมันธรรมชาติของมัน มันต้องแสดงตัวตลอดเวลา แต่แสดงตัวในสถานะไหนล่ะ สถานะของมนุษย์ สถานะของอินทร์ ของพรหม กำเนิด ๔ ตั้งแต่โอปปาติกะในไข่ ในน้ำคร่ำ ในครรภ์ กำเนิด ๔ จิตต้องเกิดโอปปาติกะ เกิดตลอดเวลาของมัน
จิตมันต้องเกิดของมันตลอดเวลา แต่นี่กำเนิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติ ถ้าเกิดมาแล้ว เกิดเป็นมนุษย์สมบัติด้วย เกิดมาพบพระพุทธศาสนาด้วย แล้วพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองด้วย แล้วเรามาบวชเป็นพระด้วย ดูสิ มันมีบุญขนาดไหน
คำว่าบุญคือโอกาสนะ บุญไม่ใช่แก้วแหวนเงินทอง บุญไม่ใช่ยศถาบรรดาศักดิ์ ยศถาบรรดาศักดิ์นั้นเขาหลอกกัน เอามาตั้งให้.. ตั้งให้นะ บุญคือใจที่มันปล่อย ใจที่มันรู้ของมัน บุญคือในใจของเรา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้โคนต้นโพธิ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้นโพธิ์เดียวเท่านั้นนะ พุทธศาสนาเบ่งบานมาขนาดนี้ มันมียศถาบรรดาศักดิ์มาจากไหน ! ใครมาให้ค่า ไม่มีใครมาให้ค่าใครเลย
แต่ด้วยบุญกุศล บุญกุศลคือจิตใจที่ผ่องแผ้ว คือจิตใจที่ความเป็นจริงอันนั้น แล้วจิตใจที่ผ่องแผ้ว มันมีอะไรทำให้ผ่องแผ้ว จิตใจมันผ่องแผ้วเป็นอย่างไร จิตใจมีแต่ความหมักหมม จิตใจมันมีแต่ความโสโครก จิตใจเรามีแต่ความเศร้าหมอง
จิตใจที่ผ่องแผ้วมันทำไมถึงผ่องแผ้วล่ะ มันผ่องแผ้วเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดอานาปานสติแล้วเกิดปัญญามรรคญาณ มันผ่องแผ้วเองเหรอ มันจะเป็นเองเหรอ
ถ้าอย่างนั้นไปนั่งอยู่โคนต้นโพธิ์ก็เป็นพระพุทธเจ้าหมดสิ ใครนั่งอยู่โคนต้นโพธิ์เลย เอาเชือกผูกไว้แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะเป็นพระพุทธเจ้า มันผ่องแผ้ว.. ผ่องแผ้วมรรคญาณ ผ่องแผ้วเพราะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกัน เราก็มีหัวใจเหมือนกัน เราก็มีความรู้สึกเหมือนกัน เราก็บวชเป็นพระเหมือนกัน เราก็มีอำนาจวาสนาเหมือนกัน คำว่าเหมือนกันๆ โดยบุญกุศล ดูสิ เวลาคนเกิดขึ้นมา เขาว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไอ้คนชั่วมันทำชั่วมหาศาล ทำไมไม่เห็นตายสักที ทำไมมันมีชีวิตอยู่ ทำไมมันมีความสุขของมัน
นี่สถานะของการเกิดไง พอการเกิดของการเป็นมนุษย์ สถานะการเกิดเป็นมนุษย์ เพราะบุญกุศลมันให้เราเกิดเป็นมนุษย์ พอมนุษย์นี่ เป็นมนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัติกระทำชั่วอยู่ ชั่วมันทำให้ผลแน่นอน แต่ในเมื่อบุญกุศลทำให้เกิดอายุขัยของมนุษย์ไง มันยังไม่ถึงที่สิ้นสุด ถ้าสิ้นสุดลมหายใจขาดมันก็ไปแล้ว
จิตมันต้องไปตามนั้นนะ ทำชั่วก็ไปตามชั่ว ทำดีก็ไปตามดี นั่นพูดถึงสถานะของมนุษย์มันรับไว้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไอ้คนชั่วไม่เห็นมันตายสักที ไอ้คนชั่วมันเต็มโลก ไอ้คนดีตายเร็วๆ ตายหมดเกลี้ยงเลย คนดีๆ หายหน้าไปหมดเลย ไอ้คนชั่วอยู่กันเต็มโลกเลย
คนดีเขาอยู่ทุกคนก็พึ่งพาอาศัย เห็นไหมร่มโพธิ์ร่มไทร ครูบาอาจารย์เราเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร คอยชี้นำของเรา แต่เราก็ถนอมรักษากันนะ คนไข้ต้องการหมอ ในเมื่อมีหมอรักษาเราอยู่ เราก็อุ่นใจ ในเมื่อเรามีครูบาอาจารย์คอยแก้ไขความข้องใจของเรา เราก็อุ่นใจ
การแก้ไข ไปโรงพยาบาลหาหมอ หมอก็ฉีดยารักษาความเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเรามีครูบาอาจารย์ของเรา เวลาเราภาวนาของเรา เราติดขัดอย่างไร จิตใจเราไปพบสิ่งใด จิตใจเรามีปมอย่างใด จิตใจเราเห็นสิ่งใด เราก็ไปปรึกษาครูบาอาจารย์ของเรา นี่ไง...ครูบาอาจารย์ท่านก็ให้ธรรม ให้ธรรมคือแก้ไขความรู้ความเห็นอันนั้น ว่าความรู้เห็นนั้นมันจริงหรือ ความเห็นน่ะเห็นจริงไหม
ความจริงมันมีอะไรมาขัดขวาง ความจริงนั้นเกิดจากเหตุใด ความจริงนั้นที่เกิดมันมีเยอะแยะไปหมดเลย เกิดจากธรรม เกิดจากธรรมคือเกิดจากบุญกุศล เกิดที่มันเกิดเอง เกิดไม่มีเหตุผล เกิดจากความเพียรของเรา เกิดจากสติปัญญาของเรา มันจะเกิดความสงบของมัน มันจะเข้าไปสู่ฐานของจิต แล้วจิตที่มันออกวิปัสสนาแล้วมันแก้ไขของมันอย่างไร
ครูบาอาจารย์ท่านเป็นจริงขึ้นมา ท่านจะแก้ไข นี่ไง ไปหาหมอก็ไปหายา ไปหาครูบาอาจารย์ก็ไปหาธรรม ครูบาอาจารย์แสดงธรรมขึ้นมา ฉะนั้นว่าคนดี คนชั่ว คนชั่วไม่มีใครอยากไปหา ก็กลิ่นความชั่วร้ายมันขจรกระจายไปทั่ว แต่กลิ่นของคุณงามความดีนะ กลิ่นของครูบาอาจารย์ กลิ่นของธรรม กลิ่นของธรรมนะ ดูสิ เทวดาเขาไม่ใกล้มนุษย์ เพราะอะไร เพราะเขาเหม็นกลิ่นคาวของมนุษย์
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราจิตใจผ่องแผ้ว จิตใจที่เป็นธรรม มันไม่มีกลิ่น มันมีแต่กลิ่นหอมทวนลม เทวดา อินทร์ พรหม ยังต้องมาอุปัฏฐากมาดูแล แล้วกลิ่นของศีลของธรรม ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็ไปหาครูบาอาจารย์ของเรา เพื่อจะแก้ใจ แก้ใจ การแก้ใจแก้จิต
การแก้จิตคือธรรมโอสถ ธรรมโอสถมันแก้กันไปเรื่อย นี่ถ้าจิตใจมันจะผ่องแผ้ว มันจะผ่องแผ้วอย่างใด สิ่งที่ความผ่องแผ้ว ความผ่องแผ้วมันลอยจากฟ้าเหรอ มันไม่มีหรอก ! สรรพสิ่งในโลกนี้มันมีเหตุมีผลทั้งหมด
โลกที่มันเจริญขึ้นมาเพราะอะไร เพราะเวลาโลกมันถึงที่สุดแล้วมันจะฟื้นตัวของมัน ฟื้นตัวมาด้วยธรรมชาติของมัน ด้วยอุณหภูมิของมัน ด้วยความชื้น ด้วยต่างๆ ต้นไม้ใบหญ้ามันจะเจริญงอกงามขึ้นมา มันจะเกิดมนุษย์ เกิดต่างๆ ขึ้นมาก็มาทำลายมัน พอทำลายมันขึ้นมามันก็เปลี่ยนแปลงกันไป มันมีเหตุมีผลหมด เพราะคนไปทำลายมัน คนไปใช้ทรัพยากรแล้วทำลายโลก โลกมันก็เปลี่ยนไปธรรมดา ถ้าคนใช้มันด้วยความทะนุถนอม คนใช้มัน มันก็เสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
มนุษย์ก็เหมือนกัน มนุษย์ก็ต้องดำรงชีวิตเหมือนกัน การดำรงชีวิต ชีวิตของมนุษย์มีคุณค่า แล้วความรู้สึกล่ะ แล้วหัวใจที่มันทุกข์มันร้อนล่ะ เราเกิดมาพบพุทธศาสนาแล้ว ศาสนาพุทธ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในตู้พระไตรปิฎก เวลาถวายไว้วัดแล้วกลัวคนลักกลัวมันหายก็เอากุญแจลั่นกลอนมันไว้ แล้วก็เอาไว้กราบพระธรรม กราบพระธรรม แล้วกราบพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขังไว้ในตู้ แล้วความทุกข์ก็ขังไว้ในใจเรา แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นไปก็คอตก อยู่ไปเพื่อฆ่าเวลาโว้ย... หมดไปวันๆ หนึ่ง โหย...หมดไปแล้วพรรษา ๕ พรรษา ฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ มันก็แก่เฒ่าไปเรื่อยๆ
เราจะฆ่าเวลาหรือเราจะฆ่ากิเลสล่ะ ถ้าเราฆ่ากิเลสนะ เวลามีคุณค่า เราต้องใช้เวลานั้น เวลามีมากมีน้อยนะ คนเรามันดีนะ เรายังรู้อยู่ว่าเราจะมีกำหนดเวลาอย่างใด แต่ถ้าไม่รู้จักกำหนดเวลาเลย ไม่มีสิ่งใดที่เราจะเป็นที่หมายเลย เราจะเอาอะไรเป็นที่ตั้งล่ะ
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด.. ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด.. ถึงเวลาแล้วจิตต้องออกจากร่างนี้ไป มันจะพลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากสังคมหรอก แม้แต่ความรู้สึกในร่างกายนี้ มันจะพลัดพรากออกจากร่างกายนี้ไป ร่างกายนี้จะทิ้งไว้สู่ธรรมชาติของมัน จิตนี้ไปตามกรรม กรรมดีกรรมชั่วมันจะพาจิตดวงนี้ไป
แต่ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ทำลายอาสวะกิเลสสิ้นออกไปจากใจแล้ว เวลาคนเขาตาย เขาตายด้วยความกระเสือกกระสน เพราะอะไร เพราะตายไปพร้อมกับขันธ์ ๕ ตายไปพร้อมกับความคิด ความคิดเป็นห่วงอาลัยอาวรณ์กับสิ่งที่เราสร้างไว้ สิ่งที่เราส่งเสียกัน จะต้องฝากฝังมอบมรดกตกทอดไปอีก เป็นความทุกข์ความยาก เป็นห่วงหาอาวรณ์
แต่ถ้าเราชำระกิเลสของเราไปแล้ว เวลาจิตออกจากร่าง กิเลสคือว่าขันธ์ ๕ ต่างๆ ที่มันผูกจิตมากับตัวจิตเองที่ละขันธ์ ๕ แล้ว ยังละตัวมันเองอีกด้วย แต่สิ่งที่มันละตัวมันเอง ตัวภวาสวะ ตัวภพ ตัวปฏิสนธิของจิต มันโดนทำลายออกไปแล้ว มันจะมีสิ่งใดเหลือ
สอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ ขณะที่ตายนี้ อนุปาทิเสสนิพพานคือทิ้งแล้ว ทิ้งเศษส่วน ทิ้งซาก ทิ้งสิ่งต่างๆ ที่มันเหลือทิ้ง ต้องทิ้งมันไป พอทิ้งมันไป หมดสิ้นกันไปที
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่พลัดพรากโดยความทุกข์ความยาก พลัดพรากโดยความเกี่ยวข้อง กับพลัดพรากด้วยพอกันที ! พอกันทีมันต้องพอกันทีมาตั้งแต่เริ่มต้น พอกันทีตั้งแต่มันรู้แจ้ง เพราะเวลา เราเกิดมากับกาลเวลา แล้วจะใช้กาลเวลานั้นเพื่อประโยชน์กับชีวิตนี้นะ
เราเกิดมาพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาอยู่ในตู้ในไหนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ที่เขาเก็บไว้ในตู้ในไหเพื่อไว้กราบไหว้บูชากัน แต่พุทธศาสนาของเรา สติ ปัญญา การประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดจากเรา จับต้องได้ มีชีวิต พุทธศาสนาเป็นๆ จับต้องได้ รู้สึกได้ ไม่ใช่พุทธศาสนาที่เป็นกระดาษที่พิมพ์ไว้ แล้วเอาไว้กราบไหว้บูชา
พุทธศาสนาที่ว่า สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นตถาคต พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร สมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาเป็นอย่างไร ถ้าปัญญา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา มันแตกต่างกันอย่างไร มันแตกต่างกันสิ้นเชิง แล้วสิ่งที่มันแตกต่าง มันก็ให้ค่าแตกต่าง
ในค่าของความรู้ กับค่าของความปล่อย กับค่าของการชำระกิเลส ความรู้ความเห็น การปล่อย การฆ่า มันมีวุฒิภาวะ มันมีความรู้สึก มันมีสติปัญญาเข้าไปทำลายทั้งนั้น สิ่งที่ศาสนา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
ธรรมรส มันรับรส รับรู้ถึงรสชาติ รับรู้ถึงความทุกข์ รับรู้ถึงการเข้มแข็ง รับรู้ถึงความเพียรชอบ การวิริยะอุตสาหะรับรู้ นั่งจนก้นพองตีนพอง เดินจนฝ่าเท้า.. รับรู้หมด ทุกข์ทั้งนั้น !
แต่เวลากิเลสมันขาดไปมันก็รับรู้ ภาวนามยปัญญามันเกิดอย่างไร รับรู้ของมัน ชำระของมัน เป็นสันทิฏฐิโกอย่างไร ชำระกิเลสอย่างไร เพื่อประโยชน์อย่างไร เกิดจากเวล่ำเวลาทั้งนั้นนะ
เวลาอันหนึ่ง ถ้าเกิดความทุกข์ความยาก เราก็อยู่ให้มันสิ้นไปวันๆ หนึ่ง แต่ถ้าเวลาอันหนึ่ง ที่เรากำลังตะครุบนะ เรากำลังไขว่คว้า
ดูสิ หลวงตาท่านบอกไปอยู่ที่บ้านผือ เป็นโรคเสียดอก มันจะตาย มันเสียดอก มันจะเป็นจะตาย ไม่อยากตายๆ เพราะ ! เพราะว่ารู้อยู่ ผู้ที่ปฏิบัติจะรู้ระดับของตัวเองตลอดเวลา ถ้ามีสติสัมปชัญญะนะ ไม่อยากตาย เพราะตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม ยังไม่อยากตาย
ฉะนั้นกำหนดเวลาใช้ต่อสู้จนถึงที่สุดจนโรคนั้นหาย พอโลกนั้นหายแล้วท่านวิปัสสนาซ้ำเข้าถึงไปเจอจุดและต่อม แล้วทำลายจุดและต่อม ตั้งแต่นั้นมาเมื่อไหร่ล่ะ ? จะไปเมื่อไหร่บอกมา จะไปเมื่อไหร่ก็ได้
ขณะที่ยังมีอยู่ รู้ว่าจะไป ก็ยังห่วงหาอาวรณ์ ยังอาลัยอาวรณ์ เพราะต้องไปเผชิญกับสิ่งข้างหน้าอีก แต่ถ้าจบที่นี่แล้ว ขณะที่เราตายด้วยความวิตกกังวล คือตายโดยปุถุชน ในเมื่อชีวิตนี้เป็นการพลัดพรากที่สุด ในข้างหน้าเราจะเตรียมตัวเราอย่างไร
แต่ถ้ามันสิ้นกิเลสแล้ว พยายามชำระกิเลสแล้วนะ จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะการตายหลอกกัน ! มันไม่มีอะไรตายเลย สรรพสิ่งนี้สู่สภาวะเดิมของเขา แล้วจิตไป นี่ธรรมะของพระพุทธเจ้านะ
แต่พระตอแหลพูดมากเลย พระตอแหลเอานี่ไปอ้างกันหมดเลย ตายแล้วกลับไปสู่สภาพเดิมของมัน สภาพเดิมของมันในใจมันติดข้อง สภาพเดิมจริงหรือเปล่า สภาพเดิมเป็นธรรมะของครูบาอาจารย์แล้วก็มาอ้างอิงกันไป พฤติกรรมมันฟ้อง การกระทำมันฟ้อง สรรพสิ่งมันฟ้อง นี่มันเป็นความฟ้องของมันนะ
ฉะนั้นถึงบอกว่าเวลามีค่า ความเป็นพระของเราก็มีค่า ชีวิตของเราก็มีค่า มีค่ามากๆ ถ้ามีสติปัญญาใช้ชีวิตเรา ใช้สมควรกับความเป็นจริง แล้วเราจะได้ผลตามความเป็นจริงที่เราประพฤติตามความเป็นจริงอันนี้ เราต้องตั้งใจจริง ทำจริงเพื่อเรา ! เอวัง